แร่ทุกชนิดมิใช่ว่าจะเป็นอัญมณีได้ เพราะอัญมณีจะต้องเป็นวัตถุที่สวยงาม หายากและมีความคงทน และเหมาะสำหรับทำเป็นเครื่องประดับ ด้วยเหตุนี้แร่ที่มีอยู่จำนวนกว่า 3,000 ชนิด จะมีเพียงประมาณ 100 ชนิด ที่สามารถใช้เจียระไนและขัดมัน หรือแกะสลักสำหรับใช้ทำเป็นเครื่องประดับหรืออัญมณี
ฉะนั้นคำว่า "อัญมณี" ก็คือแร่ธาตุที่มีความสวยงาม ซึ่งอาจเกิดจากสารอินทรีย์ (Organic) หรือสารอนินทรีย์ (Inorganic) ก็ได้ สามารถนำมาเจียระไนและขัดมัน หรือ แกะสลักเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ ดังนั้นคุณสมบัติที่จะจัดเป็น "อัญมณี" จะต้องประกอบด้วย- ความสวยงาม (Beauty)
- ความหายาก (Rarity)
- ความคงทน (Durability) ซึ่งแบ่งเป็น
- ความแข็ง (Hardness)
- ความเหนี่ยว (Toughness)
- ความทนทาน (Stability)
ความแข็ง | แร่ |
10 | เพชร (Diamond) |
9 | คอรันดัม (Corundum) |
8 | โทแพส (Topaz) |
7 | ควอทซ์ (Quartz) |
6 | ออร์โธเคลส (Orthoclase) |
5 | อะพาไทท์ (Apatite) |
4 | ฟลูออไรท์ (Fluorite) |
3 | คาลไซด์ (Calcite) |
2 | ยิปซัม (Gypsum) |
1 | ทัลค์ (Talc) |
ความเหนียว (Toughness) หมายถึง ความคงทนต่อการแตก หรือแยกออกเมื่อถูกความกดดัน ความเหนียวเป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของพลอย ซึ่งถ้าบวกกับความแข็งของพลอยด้วยแล้วจะทำให้ตัวพลอยมีความคงทนเป็นอย่างมาก คุณสมบัติของความแข็งและความเหนียวไม่เหมือนกัน เพราะพลอยบางชนิดมีมีความแข็งมากเนื่องจากอะตอมในตัวของมันเกาะกันแน่น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีความเหนียวน้อยกว่าพลอยชนิดอื่นที่มีความแข็งน้อยกว่าเสียอีก เช่น เพชรที่มีความแข็ง 10 ส่วนหยกมีความแข็ง 6.5 - 7 แต่เพชรมีความเหนียวไม่เท่าหยก ทั้งนี้เพราะเพชรมีรอยแยกแนวเรียบ (Cleavage) ที่สมบูรณ์ใน 4 ทิศทาง ส่วนในหยกไม่มีรอยแยกแนวเรียบและผลึกในหยกนั้นแกาะตัวกันแน่นมาก จึงทำให้หยกมีคุณสมบัติที่ทนทานมากกว่าเพชร
ความทนทาน (Stability) หมายถึงความคงทนต่อสารเคมีที่สามารถทำให้โครงสร้างของพลอยชำรุดหรือแตกสลาย เช่น กรด แอลกอฮอล น้ำหอม เป็นต้น ส่วนรอยร้าวในโอปอล (Opal) ที่มักเกิดขึ้น เกิดจากการสูญเสียน้ำในตัวมันเอง (เนื่องจากในโอปอลมีส่วนผสมของน้ำปนอยู่)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น