กรรมวิธี | ผลผลิตที่ได้ |
แบบหลอมละลาย (Melt Growth Process) | ทับทิมสังเคราะห์ ซัฟไฟร์สังเคราะห์ สปิเนลสังเคราะห์ สตาร์ทับทิมสังเคราะห์ สตาร์ซัฟไฟร์สังเคราะห์ |
แบบโชคราวสกี้ (Czochralski) | อเล็กซานไดรท์สังเคราะห์ อเล็กซานไดรท์ตาแมวสังเคราะห์ จีจีจี (GGG = Gadolinium Gallum Garnet) ทำเพื่อเลียนแบบเพชร ทับทิมสังเคราะห์ ซัฟไฟร์สังเคราะห์ สตาร์ทับทิมสังเคราะห์ แย็ค (YAG = Yttrium Aluminum Garnet) ทำเพื่อเลียนแบบเพชร |
แบบโฟลทติ้งโซน (Floating Zone Process) | ทับทิมสังเคราะห์ ซัฟไฟร์สังเคราะห์สีน้ำเงิน ไร้สี และ ส้ม |
แบบสกัลล์เมลท์ (Skull Melt Process) | CZ เพชรเทียม คิวบิก เซอร์โคเนียสังเคราะห์ (Synthetic Cubic Zirconia,CZ) |
แบบฟลักซ์ (Flux Process) | ทับทิมสังเคราะห์ ไพลินสังเคราะห์ ซัฟไฟร์สังเคราะห์ ทุกสี มรกตสังเคราะห์ แเล้กซานไดรท์สังเคราะห์ |
แบบไฮโดรเทอร์มอล (Hydrothermal Process) | มรกตสังเคราะห์ ควอทซ์สังเคราะห์ ทับทิมสังเคราะห์ |
วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559
พลอยสังเคราะห์ (Synthetic)
พลอยสังเคราะห์ (Synthetic) หรือ พลอยอัด คือสารที่ทำขึ้นมาโดยมนุษย์ มีลักษณะทางเคมีเหมือนกับสารธรรมชาติ ทำให้พลอยสังเคราะห์เหล่านี้ค่อนข้างยากที่จะพิสูจน์และแยกออกจากพลอยธรรมชาติเพราะวิธีการสังเคราะห์ใกล้เคียงกับธรรมชาติมาก ต่างกันตรงระยะเวลาการเกิดผลึกแบบธรรมชาติต้องใช้เวลาเป็นพันปี แต่พลอยสังเคราะห์ใช้เวลาไม่กี่วันหรือไม่ถึงปีขึ้นอยู่กับขั้นตอนแบบและชนิดพลอย กรรมวิธีการผลิตพลอยสังเคราะห์แบ่งเป็น
พลอยอัดสามารถทำเลียนแบบพลอยแท้โดยมีราคาที่ไม่สูงมากนัก สามารถนำมาทำเป็นเครื่องประดับต่างๆ ได้แต่ก็มักจะมีผู้จำหน่ายบางรายนำไปขายในราคาใกล้เคียงกับพลอยแท้จากธรรมชาติโดยมีเจตนาหลอกลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดว่าเป็นพลอยแท้
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559
ปรากฎการณ์ธรรมชาติของอัญมณี (Phenomenon)
ปรากฎการณ์ธรรมชาติหมายถึง ลักษณะพิเศษ หรือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในอัญมณี ซึ่งอาจเกิดจากตำหนิในอัญมณี (Inclusions) โครงสร้างทางกายภาพของอัญมณี (Physical Structure) หรือ การดูดกลืนของแสงในอัญมณี (Selective Absorption) ปรากฎการณ์หรือลักษณะพิเศษที่เกิดขึ้นในอัญมณีมีดังนี้
- สาแหรกหรืออสตาร์ (Asterism or Start) เกิดจากแสงสะท้อนจากตำหนิเส้นเข็มในอัญมณีตัดกันมากกว่า 1 ระนาบ พบได้ในพลอยสตาร์ทับทิม (Start Ruby) หรือ สตาร์ซัฟไฟร์ (Start Sapphire) สังเกตุได้จากแสงสะท้อนหรือแสงส่องผ่าน
- ตาแมว (Chatoyancy or Cat's eye) เกิดจากแสงสะท้อนจากตำหนิเส้นเข็มขนานกัน 1 ระนาบ พบได้ใน พลอยคริสโซเบอริลตาแมว (Cat's eye Chrysoberyl) ควอทซ์ตาแมว (Cat's eye Quartz) หรือทัวมาลีนตาแมว (Cat's eye Tourmaline)
- อะเวนจูเรสเซนส์ (Aventurescence) เกิดจากแสงสะท้อนจากตำหนิลักษณะเป็นเกล็ดเล็กๆ ของแผ่นแร่ จะเห็นเป็นเกล็ดระยิบระยับในอัญมณี เช่น พลอยซันสโตน ออลิโกเคลส (Sunstone Oligoclase) ซึ่งมีแผ่นคอปเปอร์ (Copper Platelet) หรือแผ่นเฮมาไทท์ (Haematite Platelet) พลอยอะเวนจูรีน ควอทซ์ (Aventurine Quartz) ซึ่งมีแผ่นฟุคไซท์ ไมก้า (Fuchsite Mica Platelet)
- การเปลี่ยนสี (Change of Colour) เกิดจากการดูดกลืนแสงและการผ่านแสงพบได้จากพลอยอเล็กซานไดร์คริสโซเบอริล (Alexandrite Chrysobery) พลอยซัฟไฟร์เปลี่ยนสี (Alexandrite-like Sapphire)
- การเล่นสี (Play of Colour) เกิดจากโครงสร้างภายในประกอบด้วยธาตุซิลิคอนทรงกลม (Silicon Sphere) เมื่อแสงส่องผ่านและกระทบบนธาตุซิลิคอนจะเกิดเป็นลักษณะหย่อมสีหลายๆสี เช่น สีแดง สีน้ำเงิน เป็นต้น พบได้จากพลอยโอปอล (Opal) และ โอปอลสังเคราะห์ (Shythetic Opal)
- แลบบราโดเรสเซนส์ (Labradorescene) เกิดเนื่องจากเส้นระนบแฝด (Repeated Twinning) ที่อยู่ในผลึกบาางชนิด เมื่อแสงส่องผานและแทรกเข้าไปในเส้นระนาบแฝดเกิดมีลักษณะเป็นแผ่นสีฟ้า-เขียวเหลิือบไปมาบนผิวอัญมณี มักพบในพลอยแลบบราโดไรท์ เฟลด์สปราร์ (Labradorite Feldspar)
- อะดูลาเรสเซนต์ (Adularescence) เกิดเนื่องจากสีในผลึกอยู่ในลักษณะเป็นชั้นและมีความหนาของชั้นสีไม่เท่ากันเมื่อแสงส่องผ่านและกระทบชั้นสี เกิดมีลักษณะเป็นแผ่นสีขาวหรือฟ้าเหลือบไปมาบน ผิวพลอยมักพบในพลอย มูนสโตนออโธเคลส (Moonstone Orthoclase) คนไทยเรียกว่า "พลอยมุกดาหาร"
- อิริเดสเซนต์ (Iridescence) เกิดจากการส่องผ่านและแตกกระจายของแสงอยู่ในผลึก มักพบในพลอยไฟร์อะเก็ท (Fire Agate Chalcedony)
- โอเรียนท์ (Orient) เกิดเนื่องจากแสงส่องผ่านและกระทบพื้นผิวเกิดมีลักษณะแบบรุ้งสี มักพบในไข่มุกแลเปลือกหอยบางชนิด
ประเภทอัญมณีตามความแข็ง (Hardness)
แร่ทุกชนิดมิใช่ว่าจะเป็นอัญมณีได้ เพราะอัญมณีจะต้องเป็นวัตถุที่สวยงาม หายากและมีความคงทน และเหมาะสำหรับทำเป็นเครื่องประดับ ด้วยเหตุนี้แร่ที่มีอยู่จำนวนกว่า 3,000 ชนิด จะมีเพียงประมาณ 100 ชนิด ที่สามารถใช้เจียระไนและขัดมัน หรือแกะสลักสำหรับใช้ทำเป็นเครื่องประดับหรืออัญมณี
ฉะนั้นคำว่า "อัญมณี" ก็คือแร่ธาตุที่มีความสวยงาม ซึ่งอาจเกิดจากสารอินทรีย์ (Organic) หรือสารอนินทรีย์ (Inorganic) ก็ได้ สามารถนำมาเจียระไนและขัดมัน หรือ แกะสลักเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ ดังนั้นคุณสมบัติที่จะจัดเป็น "อัญมณี" จะต้องประกอบด้วย- ความสวยงาม (Beauty)
- ความหายาก (Rarity)
- ความคงทน (Durability) ซึ่งแบ่งเป็น
- ความแข็ง (Hardness)
- ความเหนี่ยว (Toughness)
- ความทนทาน (Stability)
ความแข็ง | แร่ |
10 | เพชร (Diamond) |
9 | คอรันดัม (Corundum) |
8 | โทแพส (Topaz) |
7 | ควอทซ์ (Quartz) |
6 | ออร์โธเคลส (Orthoclase) |
5 | อะพาไทท์ (Apatite) |
4 | ฟลูออไรท์ (Fluorite) |
3 | คาลไซด์ (Calcite) |
2 | ยิปซัม (Gypsum) |
1 | ทัลค์ (Talc) |
ความเหนียว (Toughness) หมายถึง ความคงทนต่อการแตก หรือแยกออกเมื่อถูกความกดดัน ความเหนียวเป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของพลอย ซึ่งถ้าบวกกับความแข็งของพลอยด้วยแล้วจะทำให้ตัวพลอยมีความคงทนเป็นอย่างมาก คุณสมบัติของความแข็งและความเหนียวไม่เหมือนกัน เพราะพลอยบางชนิดมีมีความแข็งมากเนื่องจากอะตอมในตัวของมันเกาะกันแน่น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีความเหนียวน้อยกว่าพลอยชนิดอื่นที่มีความแข็งน้อยกว่าเสียอีก เช่น เพชรที่มีความแข็ง 10 ส่วนหยกมีความแข็ง 6.5 - 7 แต่เพชรมีความเหนียวไม่เท่าหยก ทั้งนี้เพราะเพชรมีรอยแยกแนวเรียบ (Cleavage) ที่สมบูรณ์ใน 4 ทิศทาง ส่วนในหยกไม่มีรอยแยกแนวเรียบและผลึกในหยกนั้นแกาะตัวกันแน่นมาก จึงทำให้หยกมีคุณสมบัติที่ทนทานมากกว่าเพชร
ความทนทาน (Stability) หมายถึงความคงทนต่อสารเคมีที่สามารถทำให้โครงสร้างของพลอยชำรุดหรือแตกสลาย เช่น กรด แอลกอฮอล น้ำหอม เป็นต้น ส่วนรอยร้าวในโอปอล (Opal) ที่มักเกิดขึ้น เกิดจากการสูญเสียน้ำในตัวมันเอง (เนื่องจากในโอปอลมีส่วนผสมของน้ำปนอยู่)
วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559
อัญมณีตระกูลคอรันดัม (Corundum)
ระดับความเข็ง 9 มีหลายสี
คอลันดัมเป็นพลอยที่มีคุณภาพดีที่สุดประเภทหนึ่งที่นำมาใช้ทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความแข็งและความทนทานต่อการขีดข่วนได้เป็นอย่างดี คำว่า "คอรันดัม" มาจากภาษาสันสกฤตคำว่า "คูริวินดา" (Kurivinda) รูบี้ (Ruby) และซัฟไฟร์ (Sapphire) มาจากภาษาลาติน ซึ่งมีความหมายว่า สีแดงและสีน้ำเงิน พลอยคอรันดัมมีประวัติมายาวนานตามแหล่งกำเนิดของประเทศต่างๆ ด้วยเหตุที่คอรันดัมเป็นพลอยที่มีความนิยมกันมากและราคาสูง จึงได้มีผู้คิดค้นผลิตคอรันดัมสังเคราะห์ขึ้นมา ทำให้ห้องปฏิบัติการ (Laboratory) ต้องมีความละเอียดอ่อนมากขึ้นในการวิเคราะห์แยกพลอยคอรันดัมออกจากคอรันดัมสังเคราะห์ ซึ่งการวิเคราะห์ได้แน่นอนต้องอาศัยตำหนิภายใน (Inclusions) ซึ่งจะเป็นตัวแยกที่ดีการวิเคราะห์คอรันดัมธรรมชาติ
คอรันดัมธรรมชาติหมายถึงพลอยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีหลายสี ความสะอาดและโครงสร้างผลึกที่ได้มาไม่มีการเสริมเติมแต่งแต่อย่างใด สิ่งที่มนุษย์เติมแต่งได้คือ การเจียระไนและขัดมัน (Cutting+Polishing) เพื่อให้เกิดความสวยงามขึ้นแก่พลอยนั้นๆตำหนิภายใน (Inclusioins) ของคอรันดัมที่ไม่ผ่านการเผา
- เส้นตรงหักมุมส่วนมากจะเป็นรูปหกเหลี่ยมตามรูปผลึกธรรมชาติ อาจมีเส้นเข็มหรือคล้ายฝุ่นละเอียดๆ อยู่บริเวณเส้นตรงหักมุม เส้นตรงหักมุมอาจะเป็นแถบหนา หรือบางแตกต่างกันไปและจะต้องไม่เป็นเส้นโค้งหรือแถบโค้ง ภายในเนื้อพลอย ถ้าเป็นพลอยก้อนจะเห็นเส้นหักมุมขนานกับหน้าผลึก
- เส้นเข็มรูทิลและเส้นไหม จะก่อตัวเป็นแนวขนานกับผลึก 6 เหลี่ยม ตัดกันทำมุม 60 x 120 องศา บนระนาบเรียบของฐานผลึก
- ตำหนิของแข็ง (ผลึก) ชนิดต่างๆเช่น เซอร์คอน (Zircon) คาลไซด์ (Calcite) ยูเรเนียม โพโรโคร (Cranium Pyrochiore) ไมก้า (Mica) อะพาไทท์ (Apatite) สปินิล (Spinel) เป็นต้น จะเห็นรอยตำหนิชัดเจน
- ตำหนิของเหลวหรือก๊าซที่อยู่ในทื่อกลวง เรียกว่าผลึกกลวงใส (Negative Crystals) อาจเป็น 2 หรือ 3 สถานะ (2-hase or 3 Phase) ก็ได้
- รอยตำหนิของเหลวในรูปแบบต่างๆ ส่วนมากจะเห็นเป็นรอยนิ้วมือ (Fingerprint) หรือเป็นแพขนนก (Feather) ซึ่งเป็นการเรียกรอยแตกต่างๆถายในลักษณะที่เห็นอาจเป็นม่นพริ้วบางๆ (Wispy) มักดูคล้ายฟลักซ์ (Flux) ในพลอยสังเคราะห์ แต่อย่างไรก็ตาม เราอาจสังเกตุเห็นผิวของพลอยมักจะมีรอยตำหนิของเหลวติดอยู่ ถ้าพูดถึงพลอยธรรมชาติรอยตำหนิเกิดขึ้นต้องใช้เวลายาวนาน
- โพลี่วินเทติก ทวินนิ่ง (Polysynthetic Twinning) เส้นระนาบแฝดตามแนวหน้าผลึกรอมโบฮีดรอน Rhombohedron) ตัดกั 87 x 93 องศา ซึ่งจะเห็นจากหน้าพลอยได้หลายทางด้วยกัน
- เส้นเข็มโบไมท์ (Boehmite) มีลักษณะยาวสีขาวอาจตัดหรือไม่ตัดกันบนระนาบแฝด ทิศทางและมุมจะอยู่ตรงกับแนวรอมโบฮีดรอน (Rhombohedron)
- รอยแยก (Parting) ตามแนวฐานผลึก (Basal Plane) และแนวรอมโบฮีดรอน
- สเปคตรัมของพลอยคอรันดัม ถ้าเป็นซัฟไฟร์สีน้ำเงิน เขียว เหลือง ที่มาจากไทย ออสเตเลีย มักจะพบเส้นดูดกลืนชัดเจนที่ 4500 4600 4700 น.อ. (ถ้าพลอยผ่านการเผามาอาจจะมีผลให้การดูดกลืนอ่อนลงได้) ถ้าเป็นพลอยมาจากซีลอนมักจะไม่มีเส้นดูดกลืนนี้เพราะส่วนใหญ่แล้วพลอยจะผ่านการเผามาแล้วทั้งสิ้น ส่วนของพม่าอาจพบแค่เส้น 4500 น.อ. หรือไม่มีสำหรับทัมทิมจะเป็นธาตุโครเมียม (Chromium) สเปคตรัมจะเหมือนกันทุกแหล่งรวมทั้งพลอยสังเคราะห์ด้วย
ตำหนิภายใน (Inclusions) ของคอรันดัมที่ผ่านการเผา
- เส้นไหมที่สลายตัว (Partially Dissolved Silk) การใช้ความร้อนในการเผามีผลทำให้เส้นไหมแตกออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ดูเหมือนฝุ่น แต่ยังคงโครงสร้างเป็นเส้นไหมตัดกัน บางครั้งดูเหมือนหมอกหนาๆ สีขาวเกาะกันเป็นกลุ่มๆ เห็นได้ชัดในพลอยที่เผาแล้ว (โดยเฉพาะพลอยจากซีลอน) หมอกหนาๆนี้อาจเกาะกันและเรียงตัวตามแถบสีอยู่ขนานกับหน้าผลึกพลอย
- ผลึกกลวง (Nagative Crystals) ซึ่งอาจเกิดจากผลึกต่างๆแตกออกเนื่องจากได้รับความร้อนขณะเผาพลอย รูปร่างอาจเป็นจุดเล็กๆ คล้ายโดนัท เนื่องจากการเกาะกลุ่มกันของผลึกเมื่อเย็นตัวลง มักจะพบในพลอยของไทยและกัมพูชา
- ผลึกล้อมรอบด้วยรอยแตกวาวเป็นรูปวงแหวน (Tension Haloes) วงแหวนนี้เป็นรอยแตกที่เกิดจากการขยายตัวของผลึกเมื่อได้รับความร้อน
- จะไม่เห็นร่องรอยสนิม (Iron Stain) สีส้ม-แดงในรอยแตกของพลอย โดยเฉพาะคอรันดัมของไทย/กัมพูชา รอยสนิมนี้มักเห็นได้ในพลอยที่ยังไม่เผาเนื่องจากใต้ดินจะมีแร่เหล็กมาก ดังนั้นอาจแทรกติดอยู่ในพลอยคล้ายรอยสนิมแต่ธาตุเหล็กจะหายไประหว่างทำการปรับปรุงคุณภาพพลอยเช่น การเผาเป็นต้น
- พลอยบางชนิดเวลานำเข้าเครื่องอุลตร้าไวโอเลท ผลลัพธ์ของการเรืองแสดงอาจจะแตกต่างกันได้ ถ้าผลอยถูกเผาด้วยความร้อนมักจะเห็นเป็นสีขาวขุ่นๆ หรืออกสีน้ำเงินขุ่นๆ
- พลอยสีเหลืองหรือสีส้มที่ผ่านการเผา บางครั้งจะเป็นสีน้ำตาล หรือสีที่เข้มกว่าเก่า แต่เมื่อพลอยเย็นตัวลงสีจะกลับสู่สีเดิม วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลที่ดีวิธีหนึ่งสำหรับการเช็คพลอยเผาของศรีลังกา
- แถบสีของพลอยที่ถูกเผาแล้วจะเห็นชัดเจนและดูคล้ายมีฝุ่นเกาะเป็นกลุ่มเป็นหย่อมๆถายในระหว่างแถบสี
- แผลเป็นหลุมที่ผิว รอยธรรมชาติ (Natural) และบริเวณที่ไม่ถูกเจียระไนอาจจะเห็นร่องรอยการเผาหลงเหลืออยู่ซึ่งสามารถมองเห็นได้โดยใช้ฟลูออเรสเซ็นส์ (ไฟขาว) สำหรับพลอยทับทิมพม่าที่ยังไม่เผา บางครั้งอาจเห็นตำหนิคล้ายคลื่นความร้อนบริเวณของผิวพลอย
คอรันดัมที่ผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพ (Enhancement)
- การเผา (Heat Treatment) จุดประสงค์เพื่อเพิ่มหรือถอยสี ทำให้พลอยโปร่งใสขึ้น ทำให้สตาร์ดูชัดขึ้น
- การฉายสี (Irradiation) อาจทำให้พลอยเปลี่ยนจากสีเหลืองอ่อนเป็นเหลืองเข้ม แต่สีที่ได้จะไม่ถาวร
- การซ่านสี (Diffusion) สามารถซ่านสีเข้าไปในพลอยได้เฉพาะผิวภายนอกเท่านั้น การซ่านสีทำให้พลอยดูมีสีเรียบทั้วทั้งเม็ดหรืออาจทำให้มีสตาร์ (Asterism) แต่สีที่อยู่ผิวนอกจะหายไปเมื่อถูกเจียระไน
สตาร์คอรันดัม (Star Corundum)
ทับทิมและซัฟไฟร์แบบที่มีปรากฏการณ์สตาร์ได้รับความนิยมกันมาก สตาร์เกิดขึ้นจากตำหนิเส้นเข็มรูทิลภายในผลึกคอรันดัมเรียงตัวกันเป็นระนาบมากกว่า 1 ระนาบและตัดกัน เมื่อใช้แสงส่องดูแสงจะสะท้อนจากตำหนิเป็นเป็นแฉกหรือสตาร์ (Start) พลอยชนิดนี้จะต้องเจียระไนเป็นหลังเบี้ยเพราะจะทำให้เห็นเส้นสีขาวตัดกัน เห็นเป็น 6 แฉกชัดเจนบนด้านที่เป็นโดมโค้ง ราคาพลอยขึ้นอยู่กับสีและความคมชัดของสตาร์ซึ่งต้องได้สัดส่วนสวยงามชนิดของสตาร์ขึ้นอยู่กับสีโดยแบ่งออกเป็นสตาร์ทับทิม (Star Ruby)
สตาร์ทับทิมจะมีสีแดง ถึงแดงอมม่วง โทนสีตั้งแต่อ่อนถึงเข้มลักษณะโปร่งใสถึงทึบแสง สตาร์ทับทิมที่สวยงามจะต้องมีลักษณะดังนี้- การเจียระไน ความหนาของ Girdle ลงมามีน้ำหนักไม่เกิน 1/4 หรืออาจน้อยกว่า ของน้ำหนักทั้้งหมด
- สี จะต้องเสมอและเข้มสด กึ่งโปรงใส
- สตาร์ มีขาที่คมและชัดอยู่ระหว่างกึ่งกลางของพลอยและขาจะต้องจรด Girdle ด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง เส้นสตาร์สามารถเคลื่อนไปมาและดูลึก
สตาร์ซัฟไฟร์ (Star Sapphires)
สตาร์ซัฟไฟร์ ชนิดเรียกตามสีของพลอย ลักษณะกึ่งโปรงแสงถึงทึบแสง สตาร์ซัฟไฟร์น้ำเงิน (Blure Start Sapphires) สตาร์ซัฟไฟร์ดำ (Black Star Sapphires) ถือว่าธรรมดาที่สุด ซัฟไฟร์สีส้ม เหลือง ไม่มีสตาร์ ส่วนสตาร์ซัฟไฟร์เขียวมีบ้างแต่หายาก แต่ถ้าขาสตาร์เป็นสีทองในพลอยสีดำจะมีค่ามากกว่าขาสีขาวคนไทยเรียกว่าสตาร์บุษ (Golden Star) มีความเชื่อกันว่าขาของสตาร์เป็นตัวแทนของศรัทธา ความหวัง และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ราคาพลอยขึ้นอยู่กับสีและความชัดของสตาร์ซึ่งต้องได้สัดส่วนสวยงาม ลักษณะสตาซัฟไฟร์ที่ดีต้องมีดังนี้- การเจียระไน ความหนาของ Girdle ลงมาได้ประมาณ 1/4 ของน้ำหนักทั้งเม็ด
- สี กึ่งโปรงใส สีเสมอและเข้มสด
- สตาร์ สามารถเห็นได้ง่ายและชัด อยู่ระหว่างกึ่งกลางของพลอยขาของสตาร์จะต้องจรดจาก Girdle ด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง สตาร์เคลื่อนไปมาได้และดูลึ
ชนิดและชื่อทางการค้า
- ทับทิม (Ruby)
- ไพลิน (Blue Sapphire)
- บุษราคัม (Yellow or Golden Sapphires)
- พัดพารัดชา (Padparadscha)
- ไฮยาธินธ์ (Hyacinth)
- เขียวส่อง (Green Sapphires)
- ซัฟไฟร์ม่วง (Amethystine Sapphires)
- ซัฟไฟร์ชมพู (Pink or Rose Sapphires)
- ซัฟไฟร์คล้ายอเล็กซานไดรท์ (Alexandrite-like Sapphires)
- ซัฟไฟร์ไร้สี (Colourless Sapphires)
- พลอยสตาร (Star Supphires)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)